#navbar { display:none; }

รักทักษิณ

รักทักษิณ

.

.
ผมไปร่วมสัมนาระดมสมอง

.

.
ทุ่นตรวจวัดภัยธรรมชาติ

แปลภาษา

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สภาวะการเปลี่ยนผ่านภูมิปัญญาในมหาวิทยาลัย




ผู้เขียน ดร.บวร ประพฤติดี และ รศ.ดร.ทิพาพร พิมพิสุทธิ์ ท่านทั้งสองเป็นอาจารย์ที่สอนปริญญาเอกผมที่มหาวิทยาลัยรามคําเเหงที่ผมเคารพเเละนับถืออย่างสูง
บทนํา
      มหาวิทยาลัยเป็นที่รวมของนักวิชาการและนักวิจัย ซึ่งสั่งสมความรู้ ประสบการณ์จากการศึกษาค้นคว้าวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ เผยแพร่และจัดการความรู้เพื่อพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่อง เป็นผู้นำทางความคิดและจริยธรรม นำสังคมสู่การแก้ไขปัญหา เป็นตัวแบบของสังคมแห่งการปฏิบัติ และเป็นที่สนับสนุนพัฒนานักวิชาการและนักวิจัย มหาวิทยาลัยจึงเป็นสถาบันนำการเปลี่ยนแปลงของสังคมโดยนักวิชาการที่มีความรู้และคุณธรรม เพื่อสร้างคนดีและสร้างสังคมชุมชนที่ดี ในกรอบของบทบาทหน้าที่ของมหาวิทยาลัยคือ การเรียนการสอน การวิจัย การให้บริการชุมชน และการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม

      มหาวิทยาลัยต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมและเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำให้เกิดการศึกษาวิจัยการเปลี่ยนแปลงและผลที่เกิดขึ้นเป็นองค์ความรู้ใหม่ที่จะนำมาปรับใช้ในการแก้ไขปัญหา ทำให้เกิดการเรียนรู้จากการปฏิบัติ เกิดองค์ความรู้ใหม่จากการศึกษาวิจัย เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิตของวิถีนักวิชาการในมหาวิทยาลัย ซึ่งสามารถนำศักยภาพและสติปัญญาสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้มหาวิทยาลัย สังคมชุมชน และนักวิชาการได้ตลอดเวลา บทบาทของมหาวิทยาลัยจึงไม่มีขอบเขตจำกัด เพราะองค์ความรู้ที่สั่งสมมากคณานับ และเป็นฐานรากที่สำคัญในทุกกิจกรรมที่สร้างสรรค์คุณค่าและมูลค่าให้แก่มหาวิทยาลัยและสังคม

    คำถามที่ตามมาคือ มหาวิทยาลัยควรมีบทบาทและหน้าที่อย่างไรในสภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็ว และการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีผลต่อสภาวะการเปลี่ยนผ่านภูมิปัญญาในมหาวิทยาลัยอย่างไรทั้งในปัจจุบันและอนาคต การเปลี่ยนแปลงบทบาทของมหาวิทยาลัยสู่ชุมชน

      ในระยะเวลา 40 ปี ที่ผ่านมาบทบาทของมหาวิทยาลัยได้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยภายในประเทศและการเปลี่ยนแปลงตามเหตุปัจจัยภายนอกประเทศในระยะต่อมา บทบาทของมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษามีเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ที่พัฒนาการมาจากประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงบริบทของสังคมการเมืองในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกัน บทบาทมหาวิทยาลัยจึงมาจากการรังสรรค์ของผู้นำสังคมและนักวิชาการในขณะนั้น  เป็นการระเบิดออกมาจากภายในของผู้บริหาร และนักวิชาการของแต่ละสถาบันเพื่อสร้างคนดี และสังคมดี กระบวนทัศน์การพัฒนาการศึกษาแม้ว่ายังเป็นไปตามแนวคิดตะวันตก แต่ฐานคิดแบบตะวันออก บริบทของสังคม ประวัติศาสตร์และหลักจริยธรรม ยังคงเป็นรากแก้วที่ทำให้ผู้ศึกษาได้รู้รากเหง้าของสังคมไทยและสังคมตะวันออก ครู อาจารย์ผู้สอนเป็นแบบอย่างที่ดี ที่คิดดี ทำดี และสอนดีทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากครู อาจารย์อย่างประจักษ์ชัดตลอดเวลาที่ศึกษาถึงการเป็นคนดีของสังคม ครู อาจารย์จึงเป็นต้นแบบของคนดีแก่ผู้ศึกษา เป็นต้นแบบทางจริยธรรมที่ต้องใช้เวลาหล่อหลอมเพราะเป็นกระบวนการเรียนรู้ทั้งทางความคิด ปัญญา และจิตวิญญาณ ในระยะเริ่มแรกของการตั้งสถาบันการศึกษาจึงอยู่บนฐานของวัฒนธรรมตะวันออกที่ปรับใช้กับภูมิปัญญาตะวันตก

      ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา ผู้นำประเทศไทยได้นำพาสังคมไทยสู่การพัฒนาอุตสาหกรรม การสร้างความทันสมัย การพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยสำคัญในการหล่อหลอมกระบวนทัศน์การพัฒนาของนักวิชาการไทย บทบาทนักวิชาการจึงเป็นไปตามวาทกรรมการพัฒนาแบบตะวันตกไร้ภูมิปัญญาไทยและตะวันออก นักสังคมศาสตร์จึงเป็นผลผลิตจากการศึกษาในกรอบตะวันตก ซึ่งให้ความสำคัญต่อแนวคิดทฤษฎี การค้นคว้าหาข้อมูลตัวเลข แปลงคุณค่าและชีวิตเป็นมูลค่าและไม่มีชีวิต พิสูจน์ ทดลอง ศึกษาแบบแยกส่วน เน้นการผลิตวัตถุและการบริโภค เงินสำคัญกว่าชีวิตผู้คน การพัฒนาประเทศเป็นไปตามกรอบวิชาการทฤษฎีตะวันตก ทิ้งภูมิปัญญาตะวันออกที่ให้ความสำคัญต่อมนุษย์และธรรมชาติ ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ไม่แยกส่วน มีภูมิปัญญาแบบบูรณาการ เห็นคุณค่าธรรมชาติ มุ่งสังคมสงบ และสันติสุข

      ในสังคมตะวันตกปัญญาชนเห็นผลกระทบจากการปฏิวัติระบบทุนโลกทำให้เกิดวิกฤติทางสังคม และสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 เป็นต้นมา อารยธรรมอุตสาหกรรมโลกทุนนิยมเป็นรากของวิกฤติที่เกิดขึ้นตามมา และนำไปสู่การแก้ปัญหาของกระบวนทัศน์การพัฒนาแบบเดิมคือ การพัฒนาแบบยั่งยืนโดยปัญญาชนในประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจนเป็นการปฏิวัติทางสังคมและชุมชนแบบใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 เป็นต้นมา ทำให้เกิดขบวนการรากหญ้า การเมืองสีเขียว และชุมชนยั่งยืน และทำให้เกิดชุมชนและองค์กรชุมชนมากมายทั่วโลก เช่น องค์กรชุมชนด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสุขภาพ ด้านภูมิปัญญา ด้านการศึกษานอกระบบ เป็นต้น

      วิกฤติที่รวมศูนย์หลายด้าน เป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาใหม่ตามมา เช่น การศึกษานอกระบบ และตามอัธยาศัย วิทยาลัยชุมชน มหาวิทยาลัยชุมชน แหล่งเรียนรู้หรือศูนย์เรียนรู้ชุมชน มีโรงเรียนแบบบูรณาการ ภูมิปัญญาแบบบูรณาการ และหลักสูตรบูรณาการเป็นสหวิทยาการ ที่สำคัญพลังชุมชนมีบทบาทและความสำคัญในการพัฒนา ขณะที่องค์กรภาครัฐมีบทบาทและอำนาจลดลง จะเห็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและชุมชนมีเพิ่มขึ้นในมิติของการพัฒนา เช่นเดียวกับสถาบันการศึกษามีแนวโน้มลงสู่ชุมชนมากขึ้น ดังจะเห็นจากบทบาทของมหาวิทยาลัยเริ่มเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาสังคมชุมชนมากขึ้น เมื่อรัฐบาลไทยกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนำไปสู่การสร้างความแตกต่างทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อมระหว่างเมืองและชนบท ปัญหาจากการพัฒนาเศรษฐกิจมิติเดียวทำให้ขาดสมดุลในการพัฒนาสังคมไทย และเพิ่มความสลับซับซ้อนของปัญหา หลายมหาวิทยาลัยจึงต้องการศึกษาวิจัยและแสวงหาต้นแบบของการพัฒนาที่อยู่บนพื้นฐานของความยั่งยืนและสมดุลมากกว่าการพัฒนาที่เน้นมิติใด มิติหนึ่งเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากโครงการความร่วมมือของสามมหาวิทยาลัยคือ หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กับชุมชนลุ่มน้ำแม่กลอง ในการศึกษาวิจัยเชิงปฏิบัติการหาต้นแบบการพัฒนาชุมชน โดยอาจารย์ป๋วย  อึ้งภากรณ์ เป็นผู้อำนวยการโครงการร่วมกับนักวิชาการของสามมหาวิทยาลัยลงไปศึกษาวิจัยร่วมกัน เมื่อปี พ.ศ. 2516 ที่อำเภอแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม

      แนวคิดของนักวิชาการดังกล่าวอยู่บนฐานคิดการพัฒนาแบบยั่งยืน คำนึงถึงวิถีชีวิตชุมชน ทุนทางสังคม สิ่งแวดล้อม ภูมิปัญญา และวิธีการบริหารจัดการจากภูมิปัญญาของชาวบ้าน โดยกระบวนการมีส่วนร่วม แม้จะพบปัญหาอุปสรรค และบางกิจกรรมไม่ประสบผลสำเร็จแต่เป็นบทเรียนสำหรับการเรียนรู้ของนักวิชาการในการพัฒนาชุมชนต่อไป แนวคิดดังกล่าวนำไปสู่การสร้างชุมชนที่พึ่งตนเองได้ สามารถผลิตและบริโภคสินค้าที่เป็นของท้องถิ่นที่มีคุณภาพและเป็นธรรมชาติ หลายชุมชนที่เป็นชุมชนแห่งการปฏิบัติ บนฐานคิดเดียวกันนี้จะเห็นว่า เงินตราลดความสำคัญลง ระบบเงินตราชุมชนมีอำนาจเหนือเงินตราของรัฐและของนายทุน เช่นกรณีชาวตำบลนาโส่ อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร ได้รวมตัวจัดตั้งกลุ่มเบี้ยกุดชุมและผลิตเงินตราชุมชนในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการภายในชุมชน แต่ใช้ได้ไม่นานก็ถูกทางภาครัฐเข้ามาตรวจสอบและอ้างว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศชาติ เพราะผลิตเงินตราขึ้นใช้เอง ผิด พ.ร.บ. เงินตรา 2501 และห้ามใช้คำว่าเบี้ยกุดชุมต่อไป การกระทำของแบงก์ชาตินั้นได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการทำลายความเข้มแข็งของชุมชน นวัตกรรมของชุมชนดังกล่าวเป็นแนวคิดที่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายของชาวบ้านจากการเปลี่ยนเป็นสังคมแห่งการบริโภค และต้องการให้สมาชิกชุมชนพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน เป็นการปฏิวัติด้านภูมิปัญญาของชุมชนตำบลนาโส่ บทเรียนจากกรณีการพัฒนาลุ่มน้ำแม่กลองของสามสถาบันเป็นเช่นเดียวกันกับตำบลนาโส่คือ ภาครัฐไม่สนับสนุนแนวคิดการพัฒนาที่มาจากภาคประชาชน ช่องว่างทางความคิดของนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยกับข้าราชการท้องถิ่นเป็นปัญหาในการทำงานในพื้นที่และการพัฒนาที่ทำให้ประชาชนคิดเป็นทำเป็น พึ่งพาตนเองได้ เป็นการท้าทายความคิดของข้าราชการที่เป็นแนวดิ่ง จึงทำให้โครงการหยุดการดำเนินการศึกษาวิจัยและปฏิบัติการในพื้นที่ เมื่อปี พ.ศ. 2519

      ดังนั้นแนวคิดการปฏิรูปการศึกษาของไทยในมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นมานานกว่า 36 ปีโดยนักวิชาการในมหาวิทยาลัย และผู้นำทางความคิดในการนำมหาวิทยาลัยสู่ชุมชน เช่นอาจารย์ป๋วย  อึ้งภากรณ์ และอาจารย์เสน่  จามริก เป็นต้น เป็นกระบวนทัศน์การพัฒนาที่เริ่มจากปัญหาของชุมชนในพื้นที่เป็นตัวตั้ง โครงการวิจัยจะรองรับปัญหาที่ต้องการแก้ไข โดยนักวิชาการได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา เป็นพี่เลี้ยงให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมคิดร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหา ชาวบ้านเกิดการเรียนรู้จากกระบวนการมีส่วนร่วมดังกล่าว ทำให้เกิดกิจกรรมในทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดประโยชน์และแก้ปัญหาของชุมชนได้อย่างแท้จริง การทำงานของนักวิชาการทั้งสามมหาวิทยาลัย เป็นการบูรณาการทางความคิดและปัญญาในการแก้ปัญหาทั้งด้านสุขภาวะโดยมหาวิทยาลัยมหิดล ด้านสังคมโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และด้านการเกษตรโดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้นแบบที่นำมหาวิทยาลัยสู่ชุมชนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน  แต่ข้อจำกัดคือ ข้าราชการและนักพัฒนาในภาครัฐไม่สามารถบูรณาการทางความคิด และการทำงานร่วมกันกับนักวิชาการ ไม่สามารถเปลี่ยนกระบวนทัศน์เดิม โดยเอาปัญหาเป็นตัวตั้ง เน้นที่กระบวนการพัฒนาคนและเชื่อมโยงกิจกรรมหลายๆ ส่วนเข้าด้วยกัน อาศัยการเรียนรู้ของชุมชนเป็นเครื่องนำทาง เป็นกระบวนการวิจัยแบบเน้นการเชื่อมโยง ถักทอ ระหว่างงานวิจัย งานพัฒนา และการจัดการความรู้และภูมิปัญญาของท้องถิ่นไปพร้อมกันแบบบูรณาการ เป็นกระบวนทัศน์เชิงบูรณาการวิจัยเพื่อท้องถิ่น ถึงแม้ว่ามีปัญหาและอุปสรรคในโครงการพัฒนาลุ่มน้ำแม่กลองดังกล่าว แต่เป็นองค์ความรู้ที่นักวิชาการได้เรียนรู้และเป็นต้นแบบของการพัฒนาที่มหาวิทยาลัยลงสู่ชุมชน เมื่อ 36 ปีที่ผ่านมา

      บทเรียนดังกล่าวทำให้เกิดการเรียนรู้ถึงงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น เป็นทางเลือกหนึ่งในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นเพื่อส่งเสริมรากฐานเดิมของชุมชนให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น เป็นการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เป็นการสืบทอดวัฒนธรรม และความเชื่อของท้องถิ่นให้เกื้อกูลและยั่งยืน ช่วยเสริมการจัดการฐานทรัพยากรของชุมชนให้เอื้อต่อการดำรงชีวิต ตลอดจนเพิ่มศักยภาพของเครือข่ายชุมชนที่มีอยู่แล้วให้สามารถจัดการกับปัญหาของตนเองได้ดีขึ้น เป็นการสะท้อนภาพคุณค่าแห่งการพัฒนาท้องถิ่นที่แท้จริง เป็นการเปลี่ยนผ่านบทบาทของมหาวิทยาลัยสู่ชุมชน พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2516 – 2519 เป็นการเปลี่ยนแปลงบทบาทของมหาวิทยาลัยที่มองเห็นการณ์ไกล รองรับการเปลี่ยนแลงของโครงสร้างระบบโลกที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้นอีก 10 ปี หากโครงการประสบความสำเร็จจะเป็นต้นแบบสำหรับการสร้างชุมชนเข้มแข็งของมหาวิทยาลัยอื่นๆ ให้เต็มพื้นที่สังคมไทย เป็นการสร้างความเข้มแข็งของฐานราก เป็นภูมิคุ้มกันที่ดีต่อวิกฤติซ้อนวิกฤติที่เกิดขึ้น

สภาวะการเปลี่ยนผ่านภูมิปัญญาและวิถีวัฒนธรรมชุมชนโลก

      การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เห็นความสำคัญของกลุ่มพลังประชาชนจากหลากหลายประเทศทั่วโลกกว่า 50,000 คน มีทั้งกลุ่มกรรมกร ชาวนา NGO กลุ่มศาสนา และชาวบ้านเข้าร่วมต่อต้าน WTO ที่เมือง Seattle ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2542 จนทำให้การประชุมต้องยุติลง และองค์กรชาวบ้านได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วระหว่างปี พ.ศ. 2534 – 2543 แพร่กระจายไปทั่วโลกนับเป็นล้านๆ องค์กร ทุกปีจะมีการประชุมเวทีระดับโลก เรียกว่า World Social Forum เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา เป็นเวทีสากลเชื่อมประสานพลังประชาชนทั่วโลกเรียกร้องให้มีการปกป้องสิ่งแวดล้อม แก้ปัญหาหนี้ในโลกที่สาม ประณาม World Bank และIMF ต่อต้านกระแสครอบโลกแบบโลกาภิวัตน์ และการก่อสงครามรุกรานของสหรัฐอเมริกา นับว่าเป็นการปฏิวัติทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ และที่สำคัญคือ การปฏิวัติด้านภูมิปัญญา เปลี่ยนวิถีคิด การเรียนรู้จากวิกฤติระบบโลก นำไปสู่การเกิดของระบบโครงสร้างที่กระจายตัวไปทั่วโลก เป็นการเกิดใหม่ของชุมชนเล็กๆ องค์กรนอกระบบในประเทศพัฒนาแล้วหันกลับไปศึกษาวิถีวัฒนธรรมชุมชน และความรู้สมัยโบราณ เรียนรู้วิถีชุมชน สร้างชุมชนอย่างยั่งยืนบนวิถีธรรมชาติ เป็นความไร้พรมแดนทางวัฒนธรรมที่อยู่บนฐานคิดสำคัญคือ เมตตาธรรม และธรรมชาตินิยม (ยุค  ศรีอาริยะ, 2548: 74) และพลังประชาชนเหล่านี้เป็นพลังที่จะเผชิญกับวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้น จะสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่ขึ้นกับความรู้ ปัญญาที่เป็นรากฐานสำคัญจึงต้องสร้างฐานความรู้ให้เข้มแข็ง เป็นชุมชนแห่งความรู้และปัญญา (Knowledge Based Community) เป็นชุมชนที่รู้ปัญหา มีความรู้แก้ปัญหา มีภูมิปัญญาแบบบูรณาการเข้าใจสภาวธรรมพื้นฐานได้ ซึ่งเป็นคุณค่าแนวคิดตะวันออกและพุทธศาสนาที่สำคัญยิ่ง

      เมื่อการเปลี่ยนแปลงของระบบโครงสร้างดังกล่าวเกิดขึ้น มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาดังได้กล่าวข้างต้นที่ให้ความสำคัญต่อชุมชนมากขึ้น เกิดการปฏิรูปการศึกษาใหม่ ทั้งการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย ศูนย์เรียนรู้ชุมชน วิทยาลัยชุมชน และมหาวิทยาลัยชุมชน เป็นต้น ประกอบกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการศึกษาอีเล็คทรอนิค ทำให้สามารถขยายการศึกษาสู่ชุมชนท้องถิ่นได้อย่างรวดเร็ว มหาวิทยาลัยที่เห็นการเปลี่ยนแปลงระบบโครงสร้างดังกล่าวจะปรับยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ให้ทันการเปลี่ยนแปลง นอกจากจะแสวงหาผู้เรียนกลุ่มใหม่ในชุมชนท้องถิ่นที่เป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ของกลยุทธ์น่านน้ำสีครามแล้ว ยังสามารถพัฒนาให้เป็นกลยุทธ์น่านน้ำสีขาวที่มุ่งพัฒนาสู่ความยั่งยืนของสังคมเป็นสำคัญ อันจะนำไปสู่การสร้างฐานความรู้ของชุมชนให้เข้มแข็งเป็นชุมชนที่รู้ปัญหา สามารถแก้ปัญหาและพึ่งตนเองได้ มีปัญญาแบบบูรณาการ สร้างสังคมที่สงบสันติสุขและยั่งยืนได้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว เป็นการท้าทายบทบาทมหาวิทยาลัยที่จะช่วยชุมชน สังคม และประเทศชาติให้มีการพัฒนาแบบยั่งยืนได้อย่างไร

      แนวคิดที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งให้ความสนใจคือ การบูรณาการแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) โดยมุ่งไปที่วัฒนธรรม ซึ่งสอดคล้องกับการเปลี่ยนผ่านของการปฏิรูปเชิงวัฒนธรรมและภูมิปัญญาชุมชนของระบบโลกในปัจจุบัน เพื่อนำวัฒนธรรมมาบูรณาการกับความรู้เพื่อสร้างสรรค์ผลผลิตที่เพิ่มคุณค่าและมูลค่าเชิงวัฒนธรรมเรียกว่า Culture Industry นักวิชาการจะช่วยต่อยอดเป็นสังคมแห่งวัฒนธรรม สังคมชนบทไทยมีมรดกทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่ามาก นักวิชาการสามารถต่อยอดความรู้ ความคิด ปัญญากับวัฒนธรรมให้เข้ากับตลาดท่องเที่ยว จะทำให้เกิดกิจกรรมและธุรกิจบนความคิดสร้างสรรค์ ดังจะเห็นจากกรณีเมืองเชียงรายได้ต่อยอดเชิงวัฒนธรรมเป็นเมืองแห่งแกลลอรี่ (ณรงค์ชัย  อัครเศรณี, 2552) หลายสิ่งหลายอย่างจะแปรเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินทางปัญญาและสร้างรายได้ให้ประเทศในอนาคต

      แหล่งวัฒนธรรมที่น่าสนใจเพื่อเป็นกลยุทธ์น่านน้ำสีขาวคือ ปรัชญาและวัฒนธรรมเชิงพุทธ ที่มีอยู่ทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในจังหวัดนครพนม สกลนคร อุดรธานี ชัยภูมิ หนองบัวลำภู เป็นพุทธภูมิที่มีพระอาริยะสงฆ์ผู้สืบสานและมีมรรคปฏิบัติที่เป็นรากฐานของความรู้ และปัญญาทางพุทธธรรมที่สำคัญยิ่งในปัจจุบัน ประกอบกับศิลปวัฒนธรรมเชิงศาสนาที่เป็นทุนทางสังคมที่มีอยู่มากมายในจังหวัดนครราชสีมา ศรีสะเกษ ขอนแก่น บุรีรัมย์ และสุรินทร์ จะนำมาบูรณาการความรู้ที่มีอยู่ให้พัฒนาเป็นการศึกษาแบบสร้างสรรค์ที่มีคุณค่าและตามมาด้วยการต่อยอดทางกิจกรรมอื่นๆ ที่เกิดคุณค่าและมูลค่า เป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) ต่อไป นอกจากนี้ทุนทางสังคมที่มีอยู่ในจังหวัดอุทัยธานี ปราจีนบุรี ลพบุรี สุโขทัย และนครศรีธรรมราช ล้วนแต่เป็นอู่อารยธรรมของประเทศ มหาวิทยาลัยจะบูรณาการทุนทางสังคมที่มีคุณค่ามหาศาลนี้กับความรู้และภูมิปัญญาของมหาวิทยาลัยที่มีอยู่ได้อย่างสร้างสรรค์อย่างไร เป็นความท้าทายที่สถาบันการศึกษาในจังหวัดและภูมิภาคเหล่านั้นสามารถนำมาใช้ต่อยอดกลยุทธ์ของมหาวิทยาลัย ความสำเร็จในการบูรณาการความรู้ ปัญญากับวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของชุมชนท้องถิ่นเหล่านี้ เป็นยุทธ์ศาสตร์น่านน้ำสีขาวที่จะช่วยอนุรักษ์ และสืบสานภูมิปัญญาวัฒนธรรมท้องถิ่น วิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ คุณธรรม และจริยธรรมของสังคมไทยให้ยั่งยืนสืบไป

      การบูรณาการความรู้ในเชิงสร้างสรรค์ ในบางกิจกรรมต้องใช้ความรู้และปัญญามาเป็นทุนทำการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนให้มากขึ้น เพราะฐานที่สำคัญคือ เศรษฐกิจชุมชนที่สามารถทำให้ชุมชนพึ่งตนเองได้ ทำให้เกิดเศรษฐกิจผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Economy) และการขยายเครือข่ายความรู้ของชุมชนท้องถิ่นด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ จะทำให้เกิดการกระจายองค์กรชุมชนที่มีความรู้มากมายในสังคม เป็นการสร้างความเข้มแข็งและภูมิคุ้มกันที่มหาวิทยาลัยจะช่วยพัฒนาสังคมชุมชนร่วมกันได้ การเปลี่ยนผ่านเชิงวัฒนธรรมและภูมิปัญญาของระบบโลกท้าทายต่อบทบาทของมหาวิทยาลัยที่จะปรับบทบาทและสร้างสภาวะการเปลี่ยนผ่านภูมิปัญญาในมหาวิทยาลัยให้ทันกับการท้าทายดังกล่าว

สรุป

      นักวิชาการที่มีความรู้ และปัญญาในมหาวิทยาลัยเป็นทุนทางสังคมที่ควรค่าแก่การสนับสนุนให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เป็นความกล้าหาญทางความคิด ซึ่งจะเกิดขึ้นในสังคมที่ช่วยกันเพิ่มพลังความคิดสร้างสรรค์ให้กับสมาชิกในองค์กรมากกว่าการสร้างความกลัวด้วยการใช้อำนาจ ความกลัวเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่เหนี่ยวรั้งไม่ให้กล้าที่จะคิด ข้อผิดพลาดหรือปัญหาขององค์การอาจจะนำไปสู่ความคิดใหม่ที่ดีได้เช่นกัน หรือทำให้เกิดการเรียนรู้จากความล้มเหลวได้เสมอ การทำลายการสร้างสรรค์ของสมาชิกในองค์การทำได้ง่ายและรวดเร็ว แต่สร้างบุคคลากรที่มีความคิดสร้างสรรค์ต้องใช้เวลาตลอดชีวิต ดังนั้นมหาวิทยาลัยจะเป็นศูนย์กลางสร้างสรรค์ ต้องสร้างสรรค์บุคลากรของมหาวิทยาลัยให้มีความกล้าในการคิดสร้างสรรค์ จึงจะสามารถพัฒนาสังคมชุมชนสร้างสรรค์ (Creative Community) ที่นำไปสู่การพัฒนาและการสร้างความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) อย่างยั่งยืน

      การเปลี่ยนแปลงในองค์การจะเกิดขึ้นได้ขึ้นกับวัฒนธรรมองค์การที่เป็นระบบเปิด ทำให้มีการสื่อสารสองทาง เกิดวัฒนธรรมคิดสร้างสรรค์และมีนวัตกรรมเกิดขึ้น ถ้าเป็นองค์การที่มีวัฒนธรรมระบบปิดองค์การจะเปลี่ยนแปลงได้ยาก โครงสร้างองค์การไม่เปิดโอกาสให้สมาชิกได้มีโอกาสสื่อสารปัญหาที่เกิดขึ้นในองค์กร ดังนั้นพันธกิจที่สำคัญของมหาวิทยาลัยคือการสร้างการเปลี่ยนแปลง และมีการสื่อสารการเปลี่ยนแปลงให้กับกลุ่มที่เกี่ยวข้องในองค์การได้รับรู้ และผู้นำให้การสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง สื่อสารปัญหาที่เกิดขึ้นและลดการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงลงให้อยู่ในระดับต่ำที่สุด ดังนั้นผู้นำการเปลี่ยนแปลงจึงต้องขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงจากภายในองค์การเริ่มต้นที่ตัวตนของผู้นำ วัฒนธรรมองค์การ พันธกิจ วิสัยทัศน์ การจัดสรรงบประมาณเพื่อรองรับกิจกรรมการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต(Blanchard, 2008)

          มหาวิทยาลัยเป็นองค์การทางปัญญาที่สภาวะการเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ยากโดยใช้ความรู้ กระบวนการวิจัยและภูมิปัญญาจากบุคลากรภายในมหาวิทยาลัย  บทบาทการเปลี่ยนแปลงของมหาวิทยาลัยจะมีความสำคัญยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในการเป็นองค์การนำการสร้างสรรค์และพัฒนาสังคม ใช้ภูมิปัญญาและความรู้ที่สั่งสม การสร้างกระบวนการเรียนรู้ การจัดการความรู้ การสร้างความรู้ใหม่จากการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติเพื่อการใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริงของสังคมและการพัฒนาแบบบูรณาการทั้งเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม จิตใจ สุขภาพ สิ่งแวดล้อม การศึกษาและประชาธิปไตยเพื่อสร้างสังคมแห่งสันติสุข บนความร่วมมือที่เกิดขึ้นจากภาคส่วนต่างๆในสังคมโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง ร่วมทำงานโดยการรวมตัวกันเชิงประเด็นในการพัฒนาที่สำคัญๆ เช่นการสร้างจิตสำนึกใหม่ การสร้างความเข้มแข็งในชุมชนท้องถิ่น การสร้างระบบการศึกษาที่นำพาชาติพ้นวิกฤติ การสร้างระบบสวัสดิการทางสังคมที่ก้าวหน้า การพัฒนาระบบธรรมาภิบาลในระบบการเมืองการปกครอง การขับเคลื่อนระบบความยุติธรรมและสันติธรรม การปฏิรูประบบสุขภาพ การสร้างความสมดุลในการพัฒนา มีระบบการสื่อสารที่ทำให้เกิดการพัฒนาร่วมกันทั้งหมดเป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นสภาวะการเปลี่ยนผ่านภูมิปัญญาในมหาวิทยาลัยที่จะนำพาสังคมไปสู่การเปลี่ยนแปลงให้พ้นวิกฤติที่เกิดขึ้นได้

บรรณานุกรม

ภาษาไทย         

      ณรงค์ชัย  อัครเศรณี (2552). “มรดกทางวัฒนธรรมเชียงราย เมืองแห่งแกลลอรี่”.กรุงเทพธุรกิจ   17 กรกฎาคม  2552.

      ยุค  ศรีอาริยะ (2548). คลื่นปฏิวัติโลกใหม่สู่อารยธรรมไร้พรมแดน. กรุงเทพ.บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน).

      สินธุ์  สโรบล (2548). “กระบวนทัศน์วิจัยเพื่อท้องถิ่น”. เอกสารการสัมมนา กองทุนสนับสนุนการวิจัย.

ภาษาอังกฤษ   

           Blanchard, Ken and et.al. (2008). Who Killed Change ?  Solving the Mystery of Leading People through Change. Harper Collins Publishers. U.S.A.


ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://policyandethics.com/blog2/?p=32