#navbar { display:none; }

รักทักษิณ

รักทักษิณ

.

.
ผมไปร่วมสัมนาระดมสมอง

.

.
ทุ่นตรวจวัดภัยธรรมชาติ

แปลภาษา

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๒๐
            
    "การทำความดีนั้น สำคัญที่สุดอยู่ที่ตัวเอง ผู้อื่นไม่สำคัญและไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องเป็นห่วงหรือต้องรอคอยเขาด้วย เมื่อได้ลงมือลงแรงกระทำแล้ว ถึงแม้จะมีใครร่วมมือด้วยหรือไม่ก็ตาม ผลดีที่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน" 



พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่พัฒนากรทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2508
    "ขอบใจมากที่ต้องเหน็ดเหนื่อยทำงานในหมู่บ้านชนบท และต้องประสบปัญหาต่าง ๆ มากมาย ขอให้ช่วยกันพัฒนาคนให้มีความเฉลียวฉลาด สามารถช่วยตัวเองได้" 




พระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีไปถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๗ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้นำมาเผยแพร่
จดหมายจากในหลวงถึงพระเทพฯ

ลูกพ่อ 


ในพื้นแผ่นดินนี้
ทุกสิ่งเป็นของคู่กันมาโดยตลอด มีความมืดและความสว่าง ความดีและความชั่ว
ถ้าให้เลือกในสิ่งที่ตนชอบแล้ว
ทุกคนปรารถนาความสว่างปรารถนาความดีด้วยกันทุกคน
แต่ความปรารถนานั้นจtสำเร็จลงได้ จtต้องมีวิธีที่จักดำเนินให้ไปถึงความสว่าง หรือ ความดีนั้น

ทางที่จtต้องไปให้ถึงความดีก็คือรักผู้อื่น
เพราะความรักผู้อื่น สามารถแก้ปัญหาได้ทุกปัญหา
ถ้าให้โลกมีแต่ความสุขและเกิดสันติภาพ
ความรักผู้อื่นจักเกิดขึ้นได้

พ่อขอบอกลูกดังนี้....
1. ขอให้ลูกมองผู้อี่นว่า เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าอดีต...ปัจจุบัน...อนาคต
2. มองโลกในแง่ดี และจะให้ดียิ่งขึ้น ควรมองโลกจากความเป็นจริง อันจักเป็นทางแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง และเหมาะสม
3. มีความสันโดษ คือ
- มีความพอใจเป็นพื้นฐานของจิตใจ พอใจตามมีตามได้ คือได้อย่างไร ก็เอาอย่างนั้น ไม่ยึดติด ขอให้คิดว่ามีก็ดี ไม่มีก็ได้ พอใจตามกำลัง คือมีน้อยก็พอใจตามที่ได้น้อย
- ไม่เป็นอึ่งอ่างพองลมจะเกิดความเดือดร้อนในภายหลัง
- พอใจตามสมควร คือทำงานให้มีความพอใจเหมาะสมแก่งาน
- ให้ดำรงชีพให้เหมาะสมแก่ฐานะของตน
4. มีความมั่นคงแห่งจิต
คือให้มองเห็นโทษของความเกียจคร้าน และมองเห็นคุณประโยชน์ของความเพียร และเมื่อเกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาให้ภาวนาว่า...มีลาภ มียศ สุขทุกข์ปรากฏ สรรเสริญนินทา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เป็นกฎธรรมดา อย่ามัวโศกานึกว่า ' ชั่งมัน '
พ่อ 6/10/2547

*** ฉันหวังว่า คำสอนพ่อที่ฉันได้ประมวลมานี้ จะเกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน ที่ได้พบเห็น และลูกอันเป็นที่รักของพ่อทุกคน
ฉันรัก พ่อฉันจัง
สิรินธร 

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ชวนหายป่วย เชื่อมือรบ. ใช้กม.แก้วิกฤต - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

ชวนหายป่วย เชื่อมือรบ. ใช้กม.แก้วิกฤต - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

ดญ.ยอดกตัญญู เลี้ยงยาย85 กินข้าวก้นบาตร - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

ดญ.ยอดกตัญญู เลี้ยงยาย85 กินข้าวก้นบาตร - ข่าวไทยรัฐออนไลน์

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Clip Panda กับครูฝึก|Megamisc

Clip Panda กับครูฝึก|Megamisc

ภาพพเปรียบเทียบ ธารน้ำแข็ง (Galciers) เมื่อ 100 ปีก่อนกับปัจจุุบัน



Friday, November 27, 2009 by Megamisc 
สวัสดีครับ

พวกเราที่ติดตามข่าวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมจะทราบดีว่า ขณะนี้โลกของเรากำลังเผชิญกับปัญหาอุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสภาพแวดล้อมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นพายุที่มีกำลังแรงขึ้น ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น พื้นที่หลายแห่งบนโลกอาจจมหายไปในไม่กี่สิบปีข้างหน้า ฯลฯ

แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปอย่างช้าๆ ทำให้คนทั่วๆ ไปไม่รู้สึกถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น  Daily Mail On Line จึงได้นำเสนอภาพถ่ายของ สถานที่เดียวกัน แต่เป็นสภาพเมื่อ 100 ปีที่แล้วกับปัจจุบัน  ภาพขุดแรกเป็นภาพของธารน้ำแข็ง  (glaciersที่อลาสกาซึ่งมีความหนาหลายสิบเมตรแต่ปัจจุบันละลายไปหมดแล้ว  ภาพชุดที่ 2 เป็นภาพของทะเลแถบอลาสกาที่เคยมีน้ำแข็งลอยอยู่อย่างหนาแน่น แต่ปัจจุบันกลายเป็นทะเลเวิ้งว้่าง ส่วนภาพชุดสุดท้ายเป็นธารน้ำแข็งบนเทือกเขาแอลป์ในประเทศ Switzerland ซึ่งมีปริมาณลดลงไปมากภายในเวลาเพียง 12 ปี










ธารน้ำแข็ง (Glaciers)  เกิดจากหิมะที่ละลายแต่ด้วยสภาพอากาศที่เย็นจัดทำให้จับตัวเป็นน้ำแข็ง ซึ่งใช้เวลานานนับหมื่นนับแสนปีกว่าจะมีความหนาหลายสิบเมตร นอกจากบริเวณขั้วโลกแล้วยังพบธารน้ำแข็งตามเทือกเขาสูงในทวีปยุโรปและเอเซียอีกด้วย น้ำแข็งเหล่านี้คือทรัพยากรน้ำจืดที่มากที่สุดในโลก ซึ่งเมื่อเกิดละลายแล้ว นอกจากจะมีผลต่อระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นแล้ว ยังจะมีผลกระทบต่อการกสิกรรมและปัญหาการขาดแคลนน้ำจืดเพื่อใช้บริโภคในอนาคตอีกด้วย

ที่มา: http://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1231141/Just-100-years-apart-stark-images-point-vanishing-world.html?ITO=149

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Check out ASTV ผู้จัดการออนไลน์:ต้อนรับปีขาล ย้อนตำนาน บ้านเกิดเสือ

Title: ASTV ผู้จัดการออนไลน์:ต้อนรับปีขาล ย้อนตำนาน บ้านเกิดเสือ
Link: http://gotaf.socialtwist.com/redirect?l=-6665602839167227511

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วิถีขงจื๊อสู่ความเป็นเลิศเหนือคน - ดร.บุญชัย โกศลธนากุล ดร.วิมลกานต์ โกสุมาศ










ขงจื้อ (จีนตัวย่อ孔子อังกฤษConfucius ; ภาษาไทยมีเรียกกันหลายชื่อ เช่น ขงฟู่จื่อ ขงจื่อ ข่งชิว) (ตามธรรมเนียม, 28 กันยายน 551 ปีก่อน ค.ศ. - 479 ปีก่อน ค.ศ.[1] ชื่อรอง จ้งหนี เป็นนักคิดและนักปรัชญาสังคมที่มีชื่อเสียงของจีน คำสอนของขงจื๊อนั้น ฝังรากอิทธิพลลึกลงไปในสังคมเอเชียตะวันออกมาเป็นเวลาถึง 20 ศตวรรษ หลักปรัชญาของขงจื๊อนั้นเน้นเกี่ยวกับศีลธรรมส่วนตัว และศีลธรรมในการปกครอง ความถูกต้องเหมาะสมของความสัมพันธ์ในสังคม และ ความยุติธรรมและบริสุทธิ์ใจ
ก่อนสิ้นใจ ขงจื๊อได้ทิ้งท้ายข้อความไว้กับ ซื่อคง ไว้ว่า "ขุนเขาต้องพังทลาย ขื่อคานแข็งแรงปานใด สุดท้ายต้องพังลงมา เหมือนเช่น บัณฑิตที่สุดท้ายต้องร่วงโรย"



ศาสตร์สี่แขนง 



ที่ขงจื๊อวางรากฐานไว้ ได้แก่ วัฒนธรรม ความประพฤติ ความจงรักภักดี และ ความซื่อสัตย์ โดยวัฒนธรรมเน้นถึงการเคารพบรรพบุรุษและพิธีการโบราณ ยึดถือผู้อาวุโสเป็นหลัก แต่ไม่ยึดติดหรืออายที่จะหาความรู้จากคนที่ต่ำชั้นหรืออายุน้อยกว่า
แปดหลักการพื้นฐานในการเรียนรู้ 
ได้แก่ สำรวจตรวจสอบ ขยายพรมแดนความรู้ จริงใจ แก้ไขดัดแปลงตน บ่มความรู้ ประพฤติตามกฎบ้านเมือง ประเทศต้องได้รับการดูแล นำความสงบสุขมาสู่โลก
ลำดับการเรียนรู้ 
ได้แก่ พิธีกรรม ดนตรี ยิงธนู ขี่ม้า ประวัติศาสตร์ และ คณิตศาสตร์
คุณธรรมทั้งสาม 
ที่ได้จากการเรียนรู้ ได้แก่ ภูมิปัญญา เมตตากรุณา และความกล้าหาญ
สี่ขั้นตอนหลักการสอน 
ได้แก่ ตั้งจิตใจไว้บนมรรควิธี ตั้งตนในคุณธรรม อาศัยหลักเมตตาเกื้อกูล สร้างสรรค์ศิลปะใหม่
สี่ลำดับการสอน 
ได้แก่ คุณธรรมและความประพฤติ ภาษาและการพูดจา รัฐบาลและ
กิจการบ้านเมือง และสุดท้ายคือวรรณคดี
     ขงจื๊อเป็นนักคิดคนสำคัญยิ่งของโลก เป็นทั้งนักศึกษา นักรัฐศาสตร์ นักปรัชญา และที่สำคัญคือ เป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลทางความคิดมากที่สุดในแผ่นดินจีน คำสั่งสอนของขงจื๊อเป็นรากฐานทางสังคม การเมืองและวัฒนธรรมของทั้งจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีมาจนถึงปัจจุบัน
แนวคิดของขงจื๊อไม่เพียงแต่เน้นให้คนมีคุณธรรม แต่ยังเป็นแนวทางนำไปสู่ความมีอัจฉริยภาพ คือทำให้รู้ว่าในเวลาหนึ่ง คนเราควรจะคิดอะไร วางตัวอย่างไร คบเพื่อนแบบไหน เพื่อทำให้เราใช้ศักยภาพและเวลาที่มีจำกัดให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด แก่นคำสอนของขงจื๊อสรุปได้เป็น 5 หัวข้อดังนี้

1. บุคลิกภาพของมนุษย์ที่แท้

มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบของขงจื๊อ คือคนมีบุคลิกโดดเด่นเหนือคนทั่วไป มีพลังดึงดูด โน้มน้าวใจคน และมีคุณธรรมเที่ยงตรง ทำให้มีอำนาจเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป คุณลักษณะ 7 ประการ ที่จะช่วยให้มนุษย์มีพลังอำนาจตามวิธีคิดของขงจื๊อ คือ

‘ นอบน้อม เพราะคนนอบน้อมจะไปทำอะไร ที่ไหน ย่อมไม่เป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป

‘ เมตตากรุณา เพราะคนมีเมตตากรุณา มักจะมี positive aura บนใบหน้าที่ทำให้สามารถเอาชนะใจคนได้โดยง่าย

‘ จริงใจ เพราะจะส่งผลให้มีบุคลิก ซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของผู้อยู่เหนือกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา และบุคคลทั่วไป

‘ จริงจัง เพราะย่อมทำทุกสิ่งทุกอย่างลุล่วงลงได้

‘ ใจคอกว้างขวาง เพราะย่อมใช้ให้คนทำงานแทนได้ และสามารถเป็นผู้นำที่ดี

‘ ไม่กินอิ่มเกินไป ไม่แสวงหาความสะดวกสบายจนเกินไป เพราะจะทำให้กลายเป็นคนเกียจคร้าน ไม่แสวงหาหนทางปรับปรุงชีวิต พัฒนาตนเองในขณะที่ยังมีกำลังวังชา และสติปัญญาสมบูรณ์

‘ มีอารมณ์มั่นคง ไม่หวั่นไหวง่าย ถ้ากล่าวแบบคนสมัยใหม่ ก็คือการมี EQ สูง

2. วิธีคิดของผู้มีปัญญา

คนเราเกิดมา มีปัญญาสูงต่ำไม่เท่ากัน มีโอกาสในการศึกษาไม่เท่ากัน แต่ขงจื๊อเห็นว่าในชีวิตประจำวันคนเราสามารถค่อยๆ สร้างสมพัฒนาสติปัญญาให้ได้ด้วยตนเอง โดยการเปลี่ยนปรับวิธีคิดเสียใหม่ เลิกคิดปรุงแต่ง และคิดถึงเรื่องไร้สาระ และหันมาพิจารณาเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์แทน ดังนี้

‘ มนุษย์ที่แท้ จะต้องพิจารณาอยู่เสมอว่า ทำอย่างไร เราจึงจะมองอะไรแล้วสามารถจะเห็นและเข้าใจสิ่งนั้นทะลุปรุโปร่ง และเมื่อได้ยินอะไรแล้ว ทำอย่างไรเราจึงจะฟังให้เข้าใจได้หมด ซึ่งก็คือการใช้สมาธิตั้งใจดู ตั้งใจฟัง นั่นเอง ปัญหาของจำนวนมาก คือ ดู เห็น ฟัง แล้วเข้าใจไม่หมด ตีความผิด ตีความเข้าตนเอง เอาตนเองเป็นที่ตั้งอยู่ตลอด ถ้าแก้ไขจุดนี้ได้ เราก็จะมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งต้องใช้ประกอบการคิด การตัดสินใจต่อไป

‘ อย่าคิดกังวลว่าใครจะยอมรับยกย่องเราหรือไม่ แต่ให้เป็นกังวลมากๆ ว่า ขณะนี้เรายังขาดคุณสมบัติข้อใดที่ทำให้ยังไม่เป็นที่ยกย่องของผู้คน และอย่าเป็นกังวลว่าคนอื่นจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของเรา แต่ให้กังวลว่าตัวเราจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของคนอื่นดีกว่า

จุดนี้คือ ขงจื๊อต้องการให้คนเราเน้นการพิจารณา เข้าใจ และปรับปรุงตนเอง ในขณะที่แนวโน้มของคนโดยทั่วไปจะชอบ 'ส่องนอก ไม่ส่องใน' และใช้เวลาไปกับการจับผิด วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเสียมาก

‘ เวลาเห็นช่องทางได้ผลประโยชน์ ต้องคิดถึงความยุติธรรมด้วยขงจื๊อเห็นว่ามนุษย์เรามีแนวโน้มจะคิดแบบเห็นแก่ได้ และตัดสินใจผิดพลาด เมื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น เพื่อจะไม่ทำผิดคุณธรรม คนเราต้องพิจารณาเรื่องความยุติธรรมอยู่เสมอๆ ความยุติธรรมที่ให้พิจารณาก็คือ หลักการง่ายๆ ถ้าเราไม่ชอบอะไร รังเกียจอะไร ก็จงอย่าทำกับคนอื่นแบบนั้น คิดได้แค่นี้

‘ นอกจากนี้ ขงจื๊อยังให้ข้อเตือนใจไว้ว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องหัดคิดการณ์ไกล เพื่อจะได้ไม่ต้องหลงทาง นอกจากนี้ เวลาร่ำเรียนศึกษาก็ต้องหัดคิดตาม เพราะคนที่ศึกษาหาข้อมูลต่างๆ โดยไม่คิด ย่อมไม่ฉลาดมากนัก ในทางตรงกันข้าม คนที่เอาแต่คิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ โดยไม่ชอบศึกษาหาข้อมูล ก็จะเป็นเพียงการคาดเดาหรือ speculation ย่อมจะคิดผิดพลาดได้ง่ายๆ ดังนั้น คนเราต้องหัดฝึกฝนการคิดและการศึกษาหาข้อมูลไปพร้อมๆ กัน

3. ระเบียบวินัย

ขงจื๊อกล่าวถึงระเบียบวินัย 3 ประการ ของคนวัยต่างๆ กัน

‘ วัยหนุ่มสาว พลังยังไม่มั่นคง ต้องมีวินัยเรื่องกามคุณ

‘ วัยกลางคน พลังกายใจเข้มแข็งมากที่สุด ต้องมีวินัยเรื่องความพึงพอใจ อย่าเพิ่งเฉยชาหรือพอใจกับอะไรง่ายๆ

‘ วัยชรา หมดเรี่ยวแรง พลังงานถดถอย ต้องมีวินัยกับความโลภ คืออย่ามีความต้องการมากมายไม่มีที่สิ้นสุด

4. การคบคน

ขงจื๊อเชื่อว่า ชีวิตคนเรา จะสุข ทุกข์ ประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องคบหาด้วย ดังนั้น ขงจื๊อจึงมีกฎในการเลือกคบคน ดังนี้


ข้อแรก ไม่คบหาคนที่มีคุณงามความดีไม่เท่าเรา ข้อสอง ไม่แสวงความเห็น หรือปรึกษาหารือคนที่มีเส้นทางชีวิตไม่เหมือนเรา ข้อสาม คนที่ควรคบหาคือ คนที่มีความซื่อตรง จริงใจ และมีความรู้ ข้อสี่ พึงเลี่ยงคบหาบุคคลที่เสแสร้ง พูดจาไร้สาระ ฉวยโอกาส ฟุ้งเฟ้อ ข้อห้า เมื่อคบหาใครเป็นเพื่อนแล้ว จงมีความจริงใจต่อกัน แต่อย่าปล่อยให้เขาชักนำเราไปในทางที่ต่ำ

5. การพูด

คำพูดของเราต้องแสดงออกถึงความ ซื่อตรง สอดคล้องกับกิริยาทางกาย เพราะถ้าหากคำพูดเราเกิด พร้อมกับกิริยา มุ่งมั่นจริงใจ พูดสิ่งใดก็ย่อมประสบผลเป็นที่น่าเชื่อถือ

6. การวางตัว

คนเราจะมีคนรักทั่วทิศ หากวางตัวได้ดังนี้

เวลาอยู่นอกบ้านแล้วพบผู้คน วางตัวเรากับคนผู้นั้นเป็นแขกสำคัญในบ้าน

เมื่อต้องสั่งการ วางตัวราวกับเราเป็นแม่งานของพิธีการที่สำคัญยิ่งใหญ่ (คนที่เป็นแม่งานจะต้องเป็นภาพงานทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบอย่างรอบด้าน และมีจิตมุ่งมั่นต้องการทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ในระยะเวลาที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะฉะนั้นเวลาคนเป็นแม่งานสั่งงาน จะไม่สักแต่ว่าขอให้ใครทำอะไร แต่จะคิด อย่างรอบคอบถึงผลที่ตามมา จะไม่สั่งการ แบบขอไปที แต่จะต้องมีการติดตามผล แนะนำเพื่อให้งานลุล่วงไปได้)

อะไรที่เราไม่ชอบ ก็อย่าปฏิบัติต่อคนอื่น

เข้มงวดต่อตนเอง แต่ให้อภัยคนอื่น

7. การวางจิต

ขงจื๊อเน้นการมีจิตใจที่ซื่อตรง เขาเห็นว่าประเทศชาติจะสงบสุขได้ครอบครัวต้องดีก่อน แต่ครอบครัวจะดีได้ มนุษย์แต่ละคนต้องมีคุณธรรม มนุษย์แต่ละคนจะมีคุณธรรม ก็ต้องมีจิตใจที่ซื่อตรงและจิตใจที่ซื่อตรง จะมีได้ก็ต้องมีเจตนาที่ซื่อตรงก่อน

ขงจื๊อเน้นจิตที่สามารถมองอะไรชัดเจน ทะลุปรุโปร่ง จิตเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็จากการมองเห็นและรู้จักตนเองอย่างรอบด้านก่อน



ขงจื้อ : ปรัชญา


บัณฑิตมีความกลัวอยู่ 3 ประการ กลัวประกาศิตของสวรรค์ กลัวผู้มีอำนาจ กลัวคำพูดของอริยบุคคล




หลับตานอกเปิดตาในจะพบความจริงเสมอ ขอขอบคุณบทความที่มีประโยชน์ครับ

                                                    ชวนะ เกียรติชวนะเสวี น.บ.


Daily News Online หน้าการเมือง ด่วน!พล.อ.สิทธิ จิรโรจน์ถึงแก่อนิจกรรม


วันนี้ไปเคารพศพคุณตาท่านพล.อ.สิทธิ จิรโรจน์ ด้วยความอาลัยยิ่ง

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

"กรณ์"สั่งธนารักษ์เบรคสร้างศูนย์การประชุมนานาชาติภูเก็ต




ขอขอบคุณ asian thai NEWS Network

Tuesday, 09 February 2010 20:50

รัฐมนตรีว่ากากระทรวงการคลัง สั่งการกรมธนารักษ์ ทบทวนรูปแบบโครงการก่อสร้างศูนย์การประชุมและนิทรรศการนานาชาติจังหวัดภูเก็ต ตามโครงการไทยเข้มแข็ง งบประมาณ 2,600ล้านบาท หลังมีข่าวทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง "พฤฒิชัย" อ้างแปลกๆ ไม่ได้รับทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินโครงการดังกล่าว และเรื่องนี้ไม่ได้ผ่านมาที่เขา แม้ว่าจะกำกับดูแลกรมธนารักษ์ ด้านแหล่งข่าวปูดหัวคิว 45 เปอร์เซนต์

กรุงเทพฯ (9 ก.พ.) 
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงโครงการก่อสร้างศูนย์การประชุมและนิทรรศการนานาชาติจังหวัดภูเก็ต ภายใต้โครงการลงทุนไทยเข้มแข็ง มูลค่าการลงทุนกว่า 2,600 ล้านบาท ซึ่งมีกระแสข่าวว่ามีการคิดค่าหัวคิวในการว่าจ้างครั้งนี้จากนักการเมือง ในสัดส่วนกว่าร้อยละ 40 ของวงเงินการออกแบบ 107 ล้านบาท ว่า ได้มอบนโยบายให้นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ไปพิจารณาเรื่องการออกแบบก่อสร้างศูนย์การประชุมดังกล่าวให้มีความหลากหลาย

"เบื้องต้นผมเห็นว่าควรเปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่เสนอรูปแบบการก่อสร้าง ด้วยการจัดประกวดการออกแบบ เนื่องจากต้องการให้การก่อสร้างศูนย์ประชุมดังกล่าวเป็นศูนย์การประชุมระดับโลก และมีความโปร่งใสในการดำเนินการ"

ด้านนายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ ในฐานะกำกับดูแลกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า จะดำเนินการตรวจสอบเรื่องการทุจริตในโครงการดังกล่าว เพื่อรายงานต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังภายในสัปดาห์นี้

"ผมยืนยันว่า ไม่ได้รับทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินโครงการดังกล่าว และเรื่องนี้ไม่ได้ผ่านมาที่ผม แม้ว่าจะกำกับดูแลกรมธนารักษ์ ส่วนจะมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อมูลเรื่องนี้หรือไม่ ยังไมสามารถตอบได้เพราะต้องรอให้มีข้อมูลมากกว่านี้"

รายงานข่าวแจ้งว่า ฝ่ายการเมืองเคยเรียกให้มหาวิทยาลัยธรรมศษสตร์ เป็นผู้ออกแบบโครงการนี้โดยการเมืองต้องการทำสถิติในการเรียกหัวคิว คือ 40 เปอร์เซนต์ ทำให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พยายามต่อรองลงมา แต่ฝ่ายการเมืองไม่ยอม ธรรมศสตร์ จึงถอดใจ

อย่างไรก็ มีมหาวิทยาลัยของรัฐอีกแห่งหนึ่งที่เข้ามารับดำเนินการ และยอมจ่ายหัวคิว ให้ฝ่ายการเมืองไป 45 เปอร์เซนต์



ผมเชื่อว่าท่านรัฐมนตรีกรณ์จะรีบดําเนินการเสริมจุดเเข็งให้จังหวัดภูเก็ตในเร็ววันคครับ
        ชวนะ เกียรติชวนะเสวี